“อินโดนีเซีย” ประเทศนี้ต้องไปก่อนตาย !!!
ประเทศนี้มีหลายอย่างให้เราเข้าไปค้นหาโดยเฉพาะธรรมชาติที่โคตรสวย ที่เมื่อคุณเห็นแล้วต้องอ้าปากค้าง
และด้วยค่าใช้จ่ายที่ไม่แพงก็สามารถทำให้คุณได้ไปพบกับความมหัศจรรย์ของธรรมชาติได้ไม่ยาก
จึงทำให้เราพูดได้เต็มปากว่าประเทศนี้ “ต้องไปเที่ยวก่อนตาย”
ทริปนี้เราไปมา 7 วัน เป็นทริปธรรมชาติที่จะทำให้คุณหลงรักประเทศนี้
ซึ่งเราจะทำออกมาทั้งหมด 2 Ep. และรีวิวนี้ก็เป็น Ep.2 แล้ววว
ใครยังไม่อ่าน EP.1 เข้าไปอ่านกันได้ใน Link นี้เลย >> https://bit.ly/2LGHk4N
EP.2 KAWAH IJEN – BROMO
สำหรับ Ep.2 หลังจากเที่ยวบาหลีเสร็จ จุดต่อไปของเราก็คือ Kawah Ijen ซึ่งเราเดินทางไปกันเอง ตอนแรกคิดว่าจะลำบาก แต่เอาจริงๆก็ลำบากอ่ะแหละถูกแล้ว 55555 ถุ้ยยย ไม่ลำบากโว้ยย เดี่ยวจะแนะนำเองว่าไปกันยังไง 5555 และหลังจาก Kawah Ijen เราก็เดินทางไป Bromo กันต่อแต่อันนี้เราใช้ทัวร์ 5555 ไปดูกันดีกว่าว่าทริปนี้จะเป็นไง
Day 4
เมื่อคืนเรานอนที่ POP! Hotel Denpasar เราเลือกที่นี่เพราะต้องไปขึ้นรถบัสที่ Terminal Bus Ubung หลังจากตื่นนอนอาบน้ำแล้วไปกินข้าวเสร็จเราก็รีบเดินไปที่ Terminal Bus Ubung ตอนเช็คในแมพคิดว่าใกล้ๆเลยเดินไป แต่ความจริงแล้วมันไม่ค่อยใกล้เลย 5555 เพราะกระเป๋าหนักเด้วยเลยเหนื่อยละมั้ง 5555 เราต้องขึ้นรถบัสไปที่ ท่าเรือ Gilimanuk รถจะออก 8 โมงเช้า เผื่อเวลาไว้หน่อยนะ ถ้าพลาดนี้จบเลย ไปถึงก็สอบถามคนแถวนั้นดู เพราะตอนเราไปข้อมูลที่เราหามาบอกว่าเป็นรถบัสสีเหลือง แต่สรุปว่าเป็นคันนี้เฉย สอบถามให้ดีก่อนขึ้นรถน่าา ตอนซื้อตั๋วก็บอกเขาด้วยนะว่าถ้าถึงท่าเรือแล้วบอกด้วย ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 ชม. นานสัสๆ 5555 ค่าตั๋วประมาณ 60000 IDR นั่งมองข้างทางบ้างหลับบ้างแล้วเราก็ไปถึงจนได้ 555 ไปถึงก็เข้าไปซื้อตั๋วเพื่อข้ามไปฝั่ง Banyuwangi ได้เลย เมื่อข้ามฝั่งไปแล้วเราต้องปรับเวลาลง 1 ชม. ไปถึงก็เดินต่อไปที่ Banyuwangi Baru Train Station ตอนเราเดินหาก็งงหน่อยๆเหมือนกัน ลองถามคนแถวนั้นดูก็ได้มันต้องเดินเข้าไปด้านในนิดนึงถึงจะเจอสถานี และเราก็ซื้อตั๋วเพื่อเดินทางไปที่ สถานี Karangasem ใช้เวลาเดินทางไม่เกิน 20 นาที รถไฟจะออกตอน 13.30 น. เช็คเวลาและเผื่อเวลาดีๆเผื่อมีอะไรผิดพลาดจะได้แก้ปัญหาทัน ถึงจะบอกให้เผื่อเวลา แต่ตอนไปเองนี่ฉิวเฉียดตลอดด 55555 นั่งไปไม่นานก็ไปถึง สถานี Karangasem ไปถึงแล้วเราออกมาหน้าสถานีก็จะเจอร้านเช่ามอเตอร์ไซค์ เราเช่าร้านในภาพเลย เจ้าของใจดีมากก ใหฝากของได้ด้วยเพราะต้องขับมอเตอร์ไซค์ไปไกลเหมือนกัน ของเยอะมันจะลำบาก เราเช่ารถไปหนึ่งวันแล้วก็เช่าหน้ากากป้องกันกำมะถันมาด้วยเลย ราคาเช่ามอเตอร์ไซค์ประมาณ 60000 IDR – 70000 IDR แล้วก็ขอเบอร์ติดต่อของเจ้าของร้านมาด้วยเผื่อมีปัญหา ตอนเราเช่าไม่ต้องใช้ใบขับขี่ ใช้แค่บัตรประชาชน ได้รถแล้วเราก็ต้องขับไปที่ Paltuding ใช้เวลาในการขับไปประมาณ 1 ชม. แล้วแต่ว่าขับเร็วไหม แต่แนะนำว่าอย่ารีบมากดีกว่า ทางไม่คุ้นเดี่ยวจะเกิดอันตรายได้ ตอนขับไปจะรู้สึกว่า เห้ยย ทำไมมันไกลจังว่ะ 5555 แต่ไม่ต้องกลัวว่าผิดทาง เราใช้ Google Map มันพาเรามาถูกที่นะ แต่โหลด MapMe มาด้วยดีกว่าเพราะบางทีอาจจะไม่มีสัญญาณไรงี้ แต่เอาจริงๆถ้ารู้สึกว่าผิดทางก็ถามคนที่เราขับผ่านดูก็ได้ และสุดท้ายเราก็มาถึง Paltuding จนได้
Paltuding เป็นแคมป์สำหรับนักเดินทางที่นี่ถ้านำเต้นท์มาเองก็สามารถพักได้ฟรี แต่ถ้าเช่าเต้นท์ราคาจะประมาณ 100000 IDR ถ้าเขาบอกมาแพงกว่านี้ลองต่อราคาดูได้เลย ไม่เสียหาย จะได้ทั้งหมอนและถุงนอนด้วย และจะบอกว่าบนนี้อากาศหนาวสัสๆ หลังจากได้เต้นท์และเก็บของเสร็จฟ้ายังไม่มืดเลยขับมอเตอร์ไซค์ออกไปหาที่ถ่ายรูปเล่น
เราอยากบอกว่าระหว่างทางวิวสวยมากก แต่รูปที่ถ่ายออกมาสวยได้ไม่เท่าที่เราเห็นด้วยตาจริงๆ อันนี้ไม่ได้เขียนให้มันดูเท่ๆนะ แม่งสวยจริง 5555
และเราเจออีกหนึ่งสถานที่เราขอเรียกว่าน้ำตกกำมะถันละกัน ขับรถออกมาจาก Paltuding ไม่นานก็เจอแล้ว ความสวยของที่นี่คือน้ำตกจะเป็นสีเหลืองปนเขียวน่าจะเป็นสีของกำมะถัน มองดูมันก็แปลกตาดี แต่ไม่ได้สีเข้มนะ ยังไงถ้าไปแล้วมีเวลาว่างก็ลองไปดูกัน
ถ่ายรูปกันเสร็จฟ้าเริ่มมืดเราก็ต้องกลับกันแล้ว ด้านหน้าPaltuding จะมีร้านค้าร้านอาหารให้เราเลือกกินหลายร้านเหมือนกัน ร้านไหนก็น่าจะเหมือนๆกัน ส่วนเมนูก็ลองสุ่มๆดูเราก็สุ่มเหมือนกัน แต่รสชาติโอเค 55555 พอฟ้ามืดอากาศก็เริ่มหนาวขึ้นเรื่อยๆ กินเสร็จก็นั่งผิงไฟให้หายหนาวสักแป่ปแล้วก็ได้เวลานอนแล้วเพราะต้องตื่นโคตรเช้า
กลับมาเต้นท์แล้วก็รีบนอนเลย เพราะเราต้องตื่นตั้งแต่ตีหนึ่งเพื่อที่จะขึ้นไปคาวาอีเจี้ยน ที่ต้องตื่เช้าขนาดนี้เพราะที่คาวาอีเจี้ยนจะมีไฮไลท์สำคัญนั่นก็คือ Blue Frame ว่าแล้วก็นอนเถอะ 5555
Day 5
ตื่นขึ้นมาเราก็โผล่หัวมาจากเต้นท์เราเจอกับมวลมหาประชาชนเยอะมากก 555 เพราะใครที่จะมาคาวาอีเจี้ยนก็ต้องมาที่นี่ก่อนเพราะเป็นปากทางขึ้น ก่อนขึ้นไปอย่าลืมน้ำด้วยนะสำคัญมากๆ และก็เตรียมเสบียงไปกินด้วยก็ดี แต่ถ้าไม่มีตอนเดินขึ้นไปครึ่งทางจะมีร้านค้ามีให้เลือกซืออยู่ด้วย เอ่อออ พี่เอาหน้าเข้ามาในกล้องทำไมครับ 555555 ก่อนขึ้นคาวาอีเจี้ยนจะมีค่าเข้าด้วย ทางเดินก็จะชันนิดหน่อย บางช่วงก็ชันเยอะ เดินไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็นั่งพัก เดินตามๆเขาไปเดี่ยวก็ไปถึงเอง ใช้เวลาประมาณ 2 – 3 ชม. สิ่งที่ห้ามลืมเด็ดขาดคือ หน้ากากป้องกันกำมะถัน ผ้าบัฟเอามาปิดปาก ( เพราะกลิ่นกำมะถันโคตรแรง )
เดินมาถึงก็ยังไม่จบต้องลงไปในปล่องด้านล่างต่อ เดินตามๆคนอื่นไปเลยแล้วเราก็จะเจอกับ Blue Frame ด้วยความที่คนเยอะมากจะตั้งกล้องถ่ายก็ยากมาก เลยต้องถ่ายไปหลบคนไปภาพที่ได้ก็จะประมาณนี้แหละ แต่บอกเลยว่าของจริงสวยกว่ามากก
หลังจากดู Blue Frame เสร็จแล้วก็รอไม่นานก็จะเริ่มเช้าเราก็จะเห็นน้ำสีฟ้าตรงด้านล่างตามภาพเลย
จากภาพจะเห็นคนที่ยืนอยู่หน้าปล่องควันเอาจริงๆกลินกำมะถันโคตรแรง คนที่ลงไปนี่โคตรอึด 555 แล้วมันจะมีบางช่วงที่ควันมันพุ่งออกมาจากปล่องคือต้องวิ่งกันอ่ะ เพราะกลิ่นแรงสัสๆ 5555 ส่วนคนข้างล่างนี่วิ่งไม่ได้เลยมั้งนั้น ยืนสู้ควันไป 5555
มาดูภาพที่เราถ่ายกันดีกว่า
หลังจากถ่ายกันจนพอใจแล้วก็เดินขึ้นข้างบนกัน ตอนแรกคิดว่าจะกลับลงไปข้างล้างเลยแต่มันยังมีวิวดีๆให้เราถ่ายอยู่ก็เลยถ่ายต่ออีกนิดนึง 5555
ถ่ายภาพกันจนพอใจแล้วก็ได้เวลาเดินลงกันแล้ว ก่อนที่จะทำอย่างอื่นไม่ทัน 55555
เราลงมาถึงเต้นท์ก็ล้างหน้าแปรงฟันแล้วเก็บของแล้วก่อนกลับเราไปอีกหนึ่งจุดที่นั่นก็คือ Blawan Waterfall เราออกจากแคมป์แล้วขับไปอีกไกลพอสมควรต้องคอยดูป้ายแหละถามทางเรื่อยๆ เพราะไม่มีสัญญาณ หลงอยู่ซักพักกว่าจะเจอ ถ้าไปแล้วงงถามคนเยอะๆเดี่ยวก็ไปถึง เผื่อเวลาไว้เยอะๆ แต่สุดท้ายเราก็ไปถึง ตอนเราไปที่นี่ไม่มีคนเลย ตอนแรกคิดว่าคนจะเยอะ น้ำตกที่นี่แปลกมาก ถ้าน้ำเยอะๆนี่คงจะสวยกว่าที่เราถ่ายมามากแน่ๆ ถ้าไปคาวาอีเจี้ยน ห้ามพลาดเด็ดขาดดด 5555
ส่วนขากลับไม่ค่อยงง แต่ต้องรีบกลับเพราะเราต้องรีบไปคืนรถและขึ้นรถไฟต่อ ถ้าไปไม่ทันนี่แย่แน่ๆ แต่ด้วยความที่หิวมากเลยต้องกินข้าวก่อน เรากินที่ร้านเดิมหน้าแคมป์ เรามีเมนูแนะนำที่คนไทยต้องชอบแน่ๆ Nasi lalapan ลองสั่งดูเลยไม่ผิดหวังแน่นอน 555 กินเสร็จแล้วก็เดินทางต่อไปที่สถานีรถไฟที่เดิม ขากลับเรารู้ทางแล้วเลยขับยาวๆเลย เลยทำให้ถึงสถานีรถไฟทันเวลา เราต้องนั่งไป สถานี Probolinggo เราขึ้นรถไฟรอบ 14:05 น. ใช้เวลาประมาณ 4 – 5 ชม. เรานั่งเป็นแบบ economy ข้อเสียเดียวก็คือจะช้ากว่าแบบธรรมดาประมาณ 40 นาที แต่อย่างอื่นคือดีหมด ติดแอร์ ที่นั่งสบาย มีปลั๊กสำหรับชาร์จด้วย โคตรดี 555
ไปเช็ครอบรถไฟได้ที่นี่เลย >> https://kai.id/train_schedule
และสุดท้ายเราก็ไปถึง สถานี Probolinggo แล้วเราติดต่อกับทัวร์ไว้ให้มารับเราที่สถานีรถไฟ เมื่อลงจากรถก็เจอกับคนขับรถของเราเลย แล้วเราก็นั่งไปยาวๆจนไปถึงที่พัก ด้วยความเพลียเลยรีบอาบน้ำนอนพรุ่งนี้เตรียมลุยต่อ
Day 6
แล้วก็ถึงวันที่เรารอมานานวันนี้เราจะไปโบรโม่กัน บอกก่อนว่าที่โบรโม่นี่หนาวสัสๆ 555 เราตื่นตั้งแต่ตีสี่ เช้าสัสๆๆ นี่มันทริปอดนอนหรือไงว่ะ 5555 เราตื่นมาเปลี่ยนชุดให้พร้อมและไกด์ก็เอารถจิ๊บมารับเรา จุดแรกที่เราไปคือจุดชมวิว ความรู้สึกแรกที่เรามาที่นี่ก็คือความหนาว หนาวสัสๆ แล้วมีลมแรงๆอีกทำให้หนาวเข้าไปใหญ๋ 5555 มาถึงก็หามุมถ่ายรูปกันเลย เราเดินเยอะมากเพื่อจะหามุมที่พอใจ แต่เราเสียดายมากที่วันนี้ไม่มีหมอก ถ้ามีหมอกต้องสวยกว่านี้แน่ๆ ต้องไปซ่อมๆ ไปดูกันดีกว่าว่าที่นี่จะสวยขนาดไหน
ถ่ายอยู่นานมากกกว่าจะพอใจ 5555 พอใจแล้วเราก็เดินไปที่รถเพื่อจะไปจุดต่อไป เราจะไปดูปล่องภูเขาไฟโบรโม่กัน รถจะขับพาเราไปด้านล่างทางชันมากรถโยกรัวๆเลย 55555
นั่งแป่ปเดียวก็มาถึงที่นี่บอกเลยว่าฝุ่นเยอะมากก 5555 ถ้าใครมีผ้าบัฟก็เอามาด้วย ได้ใช้แน่นอน 5555
เมื่อรถจอดเราก็ลงเดินไปเรื่อยๆ บอกเลยว่าที่นี่มองไปทางไหนก็สวยถ่ายรูปรัวๆเลย ที่นี่มีให้เลือกสองทางในการไปดูปล่องภูเขาไฟ คือเดินกับขี่ม้า แต่เราอยากถ่ายรูปเยอะๆเลยไม่รีบขอเดินดีกว่า 5555 แต่ขี่ม้าก็เฟี้ยวไปอีกแบบเหมือนกัน ไปดูภาพกันดีกว่า
ภาพด้านล่างคือทางเดินขึ้นไปดูปล่องภูเขาไฟที่เราต้องไปกัน
เราเดินไปเรื่อยๆแบบโคตรไม่รีบ 5555 แต่สุดท้ายเราก็ไปจนถึงปากปล่องภูเขาไฟ ทางเดินขึ้นที่เป็นบันไดบอกเลยว่าคนเยอะสัสๆ 55555 ขึ้นไปถึงปากปล่องก็คนเยอะสัสๆเช่นกัน 55555 เราไม่ค่อยได้ถ่ายรูปด้านบนเลยเพราะถ่ายยากมากคนเยอะเกิน แต่วินาทีแรกที่เราได้มองไปในปล่องและได้ยินเสียงลมหายใจของเทพพระเจ้าที่ออกมาจากปล่อง ทำให้เข้าใจเลยว่าทำไมคนถึงเรียกที่นี่ว่า BREATH OF GOD
ไปดูภาพอื่นๆที่เราถ่ายมาดีกว่า
อีกอย่างที่อยากแนะนำคืออาหารเมนูนี้ เราไม่รู้จักชื่อมันหรอก เป็นร้านรถเข็นที่ขายอยู่แถวๆโบรโม่นี่แหละ เป็นไก่ย่างที่มีน้ำราดโคตรอร่อย กินกับข้าวอะไรสักอย่าง รวมๆแล้วอร่อยสัสสสสส โคตรแนะนำ ถ้าเจอร้านที่ขายอะไรแบบนี้ต้องห้ามพลาด
เราลงมาจากปากปล่องภูเขาไฟฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว ตอนนั้นคิดได้อย่างเดียวว่า “เหี้ยแล้ว กุยังเที่ยวไม่คุ้มเลย” 555555 แต่มันก็ยังไม่ตกหรอก รถพาเราไปแวะถ่ายรูปที่ Whisper Sand แต่เราไม่ค่อยอินกับที่นี่และก็กลัวฝนตกเลยถ่ายแค่นิดเดี่ยวแล้วไปอีกจุดที่เราชอบมากนั่นก็คือ Savannah
Savannah ที่นี่คือทุ่งหญ้าสีเขียวสุดลูกหูลูกตาบวกกับเขาลูกใหญ่ด้านหลังทำให้มันเป็นการผสมผสานที่ลงตัวสัสๆ เราเป็นคนที่ชอบสีเขียวอยู่แล้วเจอสถานที่แบบนี้เข้าไปกุตายเลยจ้าาา 555555
หลังจากถ่ายรุปเสร็จฝนก็เริ่มตก แต่ไม่เป็นไรวันนี้เราคุ้มแล้ว 55555 จริงๆในทริปเรามีไป Madakaripura Waterfall เป็นน้ำตกที่สวยสัสๆ แต่ไกด์บอกว่าวันนี้ไม่ทันแล้วบวกกับฝนตกด้วย เลยจะพาไปพรุ่งนี้ ถือว่าโอเคเลยจะได้กลับมานอนพักเพราะตื่นเช้ามากก 55555
Day 7
มาถึงวันสุดท้ายของทริปแล้ว วันนี้จริงๆเราต้องไปสนามบินเลย แต่เปลี่ยนแผนต้องไปน้ำตกก่อนเลยต้องออกเร็วกว่าเดิม ไกด์พาเรานั่งรถยาวๆไปที่ Madakaripura Waterfall นั่งไปนานพอสมควรเลยและทางขรุขระมากก รถโยกรัวๆเลย 55555 แต่สุดท้ายเราก็มถึงจนได้ มาถึงก็จะต้องจ้างคนนำทางพาเข้าไป เราจะบอกว่ามันเข้าไปเองได้เหมือนกัน เพราะตอนเราเดินกลับก็มีคนที่เดินมาแบบไม่มีคนนำทาง แต่เราโชคดีเหมือนกันเพราะมาถึงเป็นคนแรกเลยของวันนั้นถ้าเข้าไปเองน่าจะลำบากเพราะมีปีนป่ายเข้าไปแล้วบางจุดถ้าเขาไม่บอกเราก็ไม่รู้ว่าเข้าไปได้ แต่ถ้ามาเที่ยงๆจริงๆเดินตามๆกันเข้าไปก็ได้นะ และมาที่นี่เตรียมเสื้อกันฝนมาด้วยเพราะเปียกแน่นอน เป็นน้ำตกที่ไหลลงมาจากฟ้าแบบว่าเราไม่เห็นเลยว่าน้ำไหลลงมาจากจุดไหน เพราะแสงเข้าตา 55555 บวกกับสีเขียวของธรรมชาติรอบข้างน้ำตกทำให้เรายกที่นี่เป็นน้ำตกที่สวยที่สุดในความรู้สึกเราตอนนี้
แต่เราเสียดายมากที่ต้องรีบทำเวลา จริงๆอยากอยู่ต่อถ่ายอีกเยอะๆเลย แต่เราต้องไปสนามบินให้ทัน ถ้าไม่ทันได้อยู่อินโดต่ออีกหลายวันแน่ๆ 555555 เลยต้องเดินกลับไปที่รถแล้วก็นั่งรถยาวๆไปที่ Surabaya airport เพื่อเดินทางกลับกรุงเทพ ถือว่าเป็นการจบทริปอย่างเป็นทางการ 55555
สำหรับอินโดนีเซียเป็นประเทศที่เราชอบมาก ถ้ามองจากภายนอกอาาจะมองว่าประเทศนี้อาจจะดูน่ากลัว แต่ตอนที่เราไปเราได้คุยกับคนอินโดหลายคนเขาก็เป็นเจ้าบ้านที่ดีนะ ไม่ได้น่ากลัวเลย แต่ก็มีเจอคนไม่ดีบ้างเหมือนกันแต่มันก็เป็นกันทุกที่แหละไม่มีที่ไหนที่เพอร์เฟคหรอก อยากให้ลองไปสำผัสอินโดนีเซียดูสักครั้ง แล้วคุณจะรู้สึกว่าเราพูดไม่ผิดว่า “อินโดนีเซียต้องไปเที่ยวก่อนตาย”
ถ้าอ่านแล้วชอบก็ไปติดตามรีวิวใหม่ๆของเราได้ที่นี่เลย : เที่ยวก่อนตาย Bucket list TH