“พาราณสี” ที่สุดแห่งอินเดีย อีกหนึ่งเมืองที่คุณต้องไปก่อนตาย

“พาราณสี” เป็นหนึ่งในเมืองศักดิสิทธิ์แห่งประเทศอินเดียที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 4,000 ปี และเป็นเมืองยอดนิยมของอินเดียที่นักท่องเที่ยวพูดถึงกันมาอย่างยาวนานว่าเกิดมาครั้งนึงต้องลองมาที่นี่สักครั้ง เขาพูดกันขนาดนี้แล้วถ้าไม่ไปสักครั้งก็คงไม่ได้ซะแล้ว 55555

หลังจากที่เราไปอินเดียมาหลายเมืองเราว่าแต่ละเมืองก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป บางเมืองก็เด่นเรื่องความสวยงามของสถาปัตยกรรม บางเมืองก็สวยที่ธรรมชาติ แต่สำหรับพาราณสีเราว่าที่นี่แตกต่างออกไป จุดเด่นที่นี่คือการได้เห็นอะไรที่ไม่เคยเห็น ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อ วิถีชีวิตความเป็นอยู่ พิธีกรรมต่างๆ ซึ่งต้องบอกเลยว่าหลายๆอย่างเป็นอะไรที่ใหม่สำหรับเรามากๆ 55555 เป็นความพิเศษที่หาไม่ได้จากที่อื่นแน่นอน ต้องมาสัมผัสด้วยตัวเองเท่านั้นถึงจะรู้ว่าที่นี่มันดียังไง แต่ถ้ายังไม่ได้ไปอ่านรีวิวของเราให้จบคุณต้องอยากไป “พาราณสี” เพิ่มขึ้นแน่นอน…

สำหรับการเดินทางไปพาราณสีที่ประเทศอินเดียเราเดินทางด้วยสายการบิน Thai Smile ซึ่งเพิ่งเปิดเส้นทางใหม่บินตรงจากสุวรรณภูมิไปลงสนามบินพาราณสี ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 3.30 ชั่วโมง และ Thai Smile เป็นสายการบินแบบ Full Service ราคาที่จ่ายคือรวมทุกอย่างแล้วไม่ว่าจะเป็น น้ำหนักกระเป๋าฟรี 30 ก.ก. อาหาร ของว่าง เครื่องดื่มต่าง ๆ และสามารถเลือกที่นั่งได้อีกด้วย ( ตรวจสอบเที่ยวบินได้ที่  https://www.thaismileair.com/th ) 

สำหรับการเดินทางไปพาราณสีที่ประเทศอินเดียเราเดินทางด้วยสายการบิน Thai Smile ซึ่งเพิ่งเปิดเส้นทางใหม่บินตรงจากสุวรรณภูมิไปลงสนามบินพาราณสี ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 3.30 ชั่วโมง และ Thai Smile เป็นสายการบินแบบ Full Service ราคาที่จ่ายคือรวมทุกอย่างแล้วไม่ว่าจะเป็น น้ำหนักกระเป๋าฟรี 30 ก.ก. อาหาร ของว่าง เครื่องดื่มต่าง ๆ และสามารถเลือกที่นั่งได้อีกด้วย สำหรับเส้นทางบินตรงสู่พาราณสีจะมีเที่ยวบิน 3 ไฟลท์ต่อสัปดาห์ ส่วนเรื่องราคารวมทุกอย่างเริ่มต้นเพียง 6,590 บาท/เที่ยวเท่านั้น หรือใครที่จองช่วงโปรอาจจะได้ราคาถูกกว่านี้เราลองเช็คดูถูกสุดอยู่ที่ 4,300 บาท/เที่ยวเท่านั้น ราคานี้รวมทุกอย่างสำหรับเราถือว่าคุ้มมาก ( ตรวจสอบเที่ยวบินได้ที่  https://www.thaismileair.com/th ) 

#THAISmileAirways  #THAISmile #THAISmileVaranasi

ที่นั่งกว้างนั่งสบาย นอนหลับได้ยาวๆ 55555

อาหาร ของว่าง เครื่องดื่มต่างๆ บริการฟรี!!

เมื่อถึงสนามบินพาราณสีเราต้องหาแท็กซี่เข้าไปที่พักกันก่อน ที่พักของเราจะอยู่ใกล้กับ Dashashwamedh Ghat เราเลือกใช้แท็กซี่ของคนที่เข้ามาหาลูกค้าในสนามบินเลย เราลองต่อราคาแล้วได้ในราคาที่ 500 รูปี แต่แท็กซี่จะมาส่งเราถึงแค่ main road เพราะช่วงแถวแม่น้ำคงคาเขาจะปิดถนนไม่ให้รถยนต์เข้าเลยต้องเดินต่อไปอีก 800 เมตร ทางเข้าไปที่พักจะเป็นตรอกซอกซอยเล็กๆถ้าเดินตามแมพก็อาจจะหลงและงงๆได้ แนะนำให้ถามคนแถวนั้นจะง่ายสุด ของเราเจอคนใจดีเดินพาไปส่งถึงที่พักเลย 55555

ที่พักเราพักที่ Baba Guesthouse ห้องพักสะอาดมาก พนักงานที่นี่ก็ดูแลดีมาก เราจองห้องแบบที่มีแอร์มาแต่เอาเข้าจริงไม่ได้เปิดแอร์เลยจ้าาา555 อากาศเย็นสบายมากจริงๆ นอนหลับสบายเลยอ่ะ จองห้องพัดลมมายังได้555 เราแนะนำเลยที่นี่ไม่ดีจริงให้ตบ 5555 ที่สำคัญใกล้แม่น้ำคงคาจะไปเดินเที่ยวไปล่องเรือก็ไปได้ง่ายๆเลย (แต่เราไม่ได้ถ่ายรูปที่พักเก็บไว้เสียดายมาก)

ก่อนไปดูสถานที่เที่ยวต่างๆเรามาดูบรรยากาศริมแม่น้ำคงคากันก่อนดีกว่า

ปล.สำหรับการเที่ยวบริเวณริมแม่น้ำคงคาทุกคนสามารถเดินเที่ยวได้เลย เดินเลียบน้ำไปแต่ละสถานที่ได้เลย

เราจะได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่ บอกเลยว่าหาที่ไหนไม่ได้

แวะถ่ายรูปสวยๆกันก่อน

ของขายเยอะมากกก

ที่เราจะเห็นได้เยอะมากๆก็คือเรือที่จอดเทียบท่านี่แหละ เป็นเรือที่จะพานักท่องเที่ยวล่องแม่น้ำคงคา เวลาแนะนำเราแนะนำเป็นช่วงเช้าไม่ก็ช่วงเย็น 5555 ดูที่เที่ยวกันพอหอมปากหอมคอแล้วไปดูที่เที่ยวกันเลยดีกว่าว่าเราไปที่ไหนกันมาบ้าง

Jantar Mantar

เริ่มต้นจากที่พักเราเดินชิลๆลัดเลาะแม่น้ำคงคาไปที่ Jantar Mantar ห่างจากท่า Dashashwamedh ไปแค่ 800 เมตรเองเดินไปไม่นานก็ถึง ระหว่างทางเราก็แวะถ่ายรูปไปเรื่อยๆบอกเลยว่าชิลมาก ที่นี่เป็นหอดูดาวที่รวบรวมเครื่องมือทางดาราศาสตร์ไวัตีความตำแหน่งของวัตถุท้องฟ้าและคำนวณเวลาท้องถิ่น เราว่าที่นี่ยังไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวรู้จักนะ เพราะเข้ามาเจอแต่คนอินเดียทั้งนั้นเลย555 ละจากที่นี่เราสามารถชมวิวแม่น้ำคงคาจากมุมสูงตรงนี้ได้ด้วย วิวที่นี่มันดูดีที่สุดเลยเว้ยแกรรรร

ค่าเข้า: 25 รูปี ถ้าโชว์พาสปอร์ตไทย

มีมุมถ่ายรูปให้เลือกถ่ายหลายมุม

ชมแม่น้ำคงคาจากมุมนี้บอกเลยว่าสวยมาก

ระหว่างทางไปที่ต่อไปเราก็เดินถ่ายรูปกันเรื่อยๆ

มีมุมสวยๆให้แวะถ่ายรูปตลอด

Napali Templa

เดินต่อจาก Jantar Mantar ไปอีกแค่นิดเดียว ก็มาถึง Napali templa วัดสีแดงโดดเด่น รูปทรงเจดีย์ทำจากดินเผา หิน ไม้ ตามแบบสถาปัตยกรรมเนปาล ตอนที่เราไปเหมือนจะมีการสอนหนังสือกันที่นี่ด้วย และที่นี่ยังถือเป็นหนึ่งในวัดที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดของเมืองพาราณสีด้วยน่า

เราจะเห็นนักบวชได้เยอะมากที่เมืองนี้

เดินถ่ายรูปต่อไปเรื่อยๆ ถ่ายเพลินมาก ยิ่งใครสายสตรีทคุณจะรักเมืองนี้เลยแหละ

Manikarnika Ghat (ถ่ายรูปไม่ได้ ห้ามถ่าย แต่ไปดูได้ รูปนี้เลยไม่ใช่รูปของที่นี่นะ)

เชื่อว่าใครหลายคนที่มาพาราณสีก็ต้องอยากมาดูพิธีเผาศพริมแม่น้ำคงคากันแน่ๆ ซึ่งพาราณสีจะมีจุดเผาศพอยู่สองที่คือ ท่ามณิกรรณิการ์ฆาต (Manikarnika Ghat) และท่าหริศจัณทร์ฆาต (Haishchandra Ghat) แต่ที่ที่เราไปคือท่ามณิกรรณิการ์ คนอินเดียที่นับถือศาสนาฮินดู-พราหมณ์มีความเชื่อว่าแม่น้ำคงคาเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์เป็นบันไดที่เชื่อมระหว่างโลกพิภพและสรวงสวรรค์ ชาวอินเดียบางคนเลือกที่จะมานอนตายใกล้ริมแม่น้ำคงคาเลยก็มีเพราะเชื่อว่าถ้าตายไปแล้วเอาศพหรือกระดูกของตัวเองลงน้ำจะเป็นหนทางทำให้ขึ้นสวรรค์ ซึ่งที่นี่เผาศพตลอด 24 ชม. และเผามาเป็นระยะเวลากว่า 5,000 ปีแล้วด้วย และขอย้ำอีกรอบตรงจุดนี้ห้ามถ่ายรูปนะ

*ข้อควรรู้ที่ทุกคนต้องอ่าน

ถ้าใครมาชวนคุย แล้วบอกว่าเป็น Volentier จะพาขึ้นไปดูจุดต่างๆในการเผาศพ ห้ามหลงเชื่อเด็ดขาดถึงแม้เขาจะบอกว่าไม่ต้องให้อะไรกับเขาก็ตาม เพราะท้ายที่สุดเขาจะให้คุณซื้อไม้สำหรับเผาศพในราคา 600 รูปี ต่อ 1 กิโล เป็นเงินไทยก็ประมาณ 300 บาท และต้องซื้อขั้นต่ำ 5 กิโล หรือตีเป็นเงินไทยก็ประมาณ 1,500 บาท ถ้ามาสองคนก็ต้องซื้อแยกนะซื้อรวมกันไม่ได้ด้วย โหดมากกก 55555 และถ้าหลงไปแล้วเขาไม่ปล่อยให้เราไปง่ายๆแน่นอน เอาเป็นว่าอย่าหลงไปละกัน 555555

หลังจากดูพิธีเผาศพเสร็จฟ้าก็เริ่มมืดละเราเลยไปหาอะไรกินกันก่อน สำหรับที่นี่ไม่ต้องห่วงเรื่องอาหารการกินนะร้านดีๆมีให้เลือกเยอะ แต่เราไม่ได้ถ่ายร้านอาหารมาด้วย ถ้าไม่รู้จะกินร้านไหนถมเจ้าของที่พักก็ได้เพราะเราก็ถามเหมือนกัน 5555

Baba Lassi

ใครที่เคยมาอินเดียแล้วเราเชื่อว่าต้องรู้จักกับเมนูนี้แน่นอน ลาสซี่หรือโยเกิร์ตปั่นสไตล์อินเดีย ร้านนี้จะพิเศษกว่าร้านอื่นตรงที่มีเมนูให้เลือกเยอะมาก ส่วนใหญ่จะเป็นลาสซี่มิกซ์กับผลไม้ต่างๆ ละเสิร์ฟมาในถ้วยปั้นดินเผาแบบเก๋ๆ ใครได้ลองชิมครั้งแรกแล้วต้องมีครั้งที่สองสามสี่ตามมาแบบเราแน่ 555555

พิธีอารตี

อีกหนึ่งจุดไฮไลท์ของที่นี่นั่นก็ถือ พิธีอารตีหรือพิธีบูชาไฟ พิธีกรรมเพื่อขอพรจากพระผู้เป็นเจ้าเพื่อมอบความสุขและความโชคดีให้แก่ผู้ที่บูชาที่เขาจัดกันทุกวันเวลาประมาณ 18:00 น. ซึ่งจัดบริเวณริมแม่น้ำที่เราเดินเที่ยวกันอ่ะแหละ ออกมาก็จะเห็นเลยเพราะคนดูกันเยอะมาก บอกเลยว่าความอลังการจากแสงไฟบนตะเกียงอารตีนี้มันช่างล่อตาล่อใจให้นักท่องเที่ยวอย่างเราให้ไปเห็นสักครั้งในชีวิตจริงๆ

ล่องเรือสัมผัสชีวิตริมแม่น้ำคงคา

เริ่มต้นเช้าวันใหม่เราจะออกไปล่องเรือสัมผัสชีวิตของผู้คนริมฝั่งแม่น้ำคงคากัน ช่วงเช้าแบบนี้ไม่แปลกเลยที่เราจะเจอคนอินเดียมาอาบน้ำกันเต็มท่าไปหมด เพราะคนที่นี่เขามีความเชื่อว่าถ้าได้อาบน้ำในที่แห่งนี้จะสามารถล้างบาปได้ ถ้ายิ่งอาบทุกวันหรือดื่มกินจะยิ่งได้บุญ เลยไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะเห็นคนอินเดียมาอาบน้ำ ดื่มน้ำ ซักผ้ากันจากตรงนี้5555 และอีกหนึ่งของแถมของการล่องเรือที่นี่คือเราจะเจอนกนางนวลเป็นร้อยๆตัวให้เราได้แชะรูปหมู่แบบนี้5555 แต่ต้องมีอาหารให้นางกินนะจ้ะ ซึ่งเราสามาถซื้ออาหารล่อมันได้จากคนที่พายเรือมาขายได้เลย รับประกันว่าฝูงนกนางนวลจะบินมาที่้เรือเราเหมือนว่าอยากรู้จักกันประมาณนี้เลยแหละ5555

เราเหมาเรือมาในราคา 250 รูปี/คน จริงๆต่อถูกกว่านี้ก็ได้แหละแต่เราขี้เกียจต่อแล้ว เลยเออราคานี้แหละ55555

วิถีชีวิตเริ่มแม่น้ำคงคายามเช้า

บอกเลยว่านกเยอะมาก อย่าลืมซื้ออาหารนกด้วยนะจะมีคนเรือขับมาขาย อย่าลืมต่อราคาด้วยนะ

ถ่ายรัวๆไปเลยจ้า

ล่องเรือเสร็จก็กลับเข้าฝั่งกัน

อย่าให้แสงสวยๆยามเช้าเสียเปล่า เราเดินถ่ายรูปกันต่อ

 

เดินตลาดสดสัมผัสวิถีชีวิตคนอินเดียแบบใกล้ชิด

มาอินเดียอย่าลืมซื้อ Himalaya กลับไทยด้วยน่า

Aadha Aadha Cafe

ล่องเรือกันจนหนำใจกันแล้วไปหาของกินให้น้ำย่อยในกระเพาะทำงานกันต่อที่ Aadha Aadha Cafe คาเฟ่ลับๆที่อยู่บนรูฟท็อปของที่พักเราเลย ร้านตกแต่งน่ารัก บรรยากาศดีเว่อๆ ของหวานก็ดีของคาวก็อร่อย แถมมีทั้งอาหารอินเดียและนานาชาติ สิบสิบสิบไปเลย!!

เดินถ่ายรูปเล่นใน ตรอก ซอก ซอย

เป็นเมืองที่วุ่นวายแต่มีเสน่ห์มากๆ 555555 หลังจากเดินถ่ายรูปกันเสร็จเราก็ไปต่อที่สุดท้ายกันเลย

Ramnagar Fort

Ramnagar Fort ป้อมปราการรัมนาการ์ที่ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์จัดเก็บคลังอาวุธ เครื่องดนตรีเก่าแก่ นาฬิกาโหราศาสตร์ รถโบราณ และวัตถุโบราณหายากต่างๆ ตัวพิพิธภัณธ์และป้อมปราการถูกออกแบบมาอย่างสวยงาม ที่ถือเป็นแบล๊คกราวด์ชั้นดีในการโพสต์ท่ามากเลยล่ะคุณ แถมถ้าใครมาตอนช่วงเย็นๆนะ สามารถชมวิวพระอาทิตย์ตกดินที่นี่ได้เลย เลิศไปอีกกก

ค่าเข้า: 50 รูปี ถ้าโชว์พาสปอร์ตไทย

มีมุมถ่ายรูปสวยๆหลายมุมเลย

และก็จบไปแล้วสำหรับรีวิวพาราณสีของเรา เราอยากจะบอกเลยว่าต่อให้อ่านรีวิวที่ดีหรือภาพสวยขนาดไหนก็ไม่เทียบเท่าการที่ได้ไปสัมผัสด้วยตัวเอง ถือเป็นอีกหนึ่งเมืองที่เราพูดได้เต็มปากเลยว่าต้องไปก่อนตาย….

อ่านเสร็จแล้วชอบอะไรไม่ชอบอะไรก็บอกกันได้น่าและฝากติดตามรีวิวใหม่ๆของเราได้ที่นี่เลย : เที่ยวก่อนตาย Bucket list TH