BUCKET LIST TH X JAPAN I EP.1 KAMIKOCHI – SHIMOKITAZAWA

“ญี่ปุ่น” ประเทศนี้มึงไม่ไปไม่ได้ 

ญี่ปุ่นเป็นอีกหนึ่งประเทศที่เราอยากไปมากกกก และคิดว่ายังไงก็ต้องไปให้ได้ก่อนตาย ด้วยความที่เราชอบทุกอย่างที่เป็นญี่ปุ่นไม่ว่าจะเป็น ธรรมชาติ เมือง อาหาร ผู้คน วัฒนธรรม การ์ตูน เอวี เอ้ยยยอันนี้ไม่เกี่ยว 55555

และหลังจากที่เราได้มาเที่ยวญี่ปุ่น 6 วัน 5 คืน ทำให้เราคิดว่ากูคิดถูกแล้วที่มาเที่ยวญี่ปุ่น 5555 ทุกอย่างคือดีไปหมด โดยเฉพาะธรรมชาติเพราะทริปนี้เรามาช่วงที่มีใบไม้เปลี่ยนสีด้วยทำให้ความสวยงามของที่นี่ยิ่งสวยขึ้นไปอีก

ทริปนี้เราแยกเป็น 2 Ep. สำหรับ Ep.1 เราจะไปกันที่ 2 ที่หลักๆ
1.KAMIKOCHI : สายธรรมชาติห้ามพลาด เดินชิลๆ แต่ธรรมชาติสวยสัส สวยเหี้ยๆ ต้องไปก่อนตาย
2.SHIMOKITAZAWA : ใครชอบเที่ยวในเมืองแต่ไม่ชอบคนเยอะต้องมาที่นี่ ชอบของวินเทจหรือของมือสองห้ามพลาดเด็ดขาด

ไม่พูดมากแล้วไปดูรีวิวกันเลยดีกว่าาา

Day 1
สำหรับทริปนี้การเดินทางไปญี่ปุ่นเราเดินทางด้วยสายการบิน NokScoot บินตรงจากดอนเมืองไปลงสนามบินนาริตะ ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 5 – 6 ชั่วโมง ไม่ต้องกลัวว่านั่งนานแล้วจะเมื่อย เพราะเครื่องบินลำใหญ่นั่งสบาย เราแนะนำให้เอาหมอนรองคอไปด้วยเพราะจะช่วยให้หลับได้สบายยิ่งขึ้น 555  

ส่วนเรื่องราคานี่ไม่แพงเลย เริ่มต้นที่เที่ยวละ 4,460 บาท (รวมภาษีแล้ว) เพราะ NokScoot เป็นสายการบินราคาประหยัดอยู่แล้ว เลือกวันดีๆแล้วไปกันได้เลย ( ตรวจสอบเที่ยวบินได้ที่ http://www.nokscoot.com )

ภาพที่เราถ่ายมาเป็นตอนเช้านะ แต่จริงๆเครื่องจะออกเดินทางเวลา 02.20 น. ก็คือขึ้นเครื่องกันแล้วก็หลับได้เลย ไปตื่นอีกทีตอนเช้าที่ญี่ปุ่นเลย 555

เราเดินทางกับ NokScoot มาหลายครั้งแล้ว และเรื่องเมนูอาหารเราก็สั่งอยู่เมนูเดียวเพราะชอบที่สุดละนั่นก็คือ ข้าวไก่เทอริยากิ ใครไม่รู้ว่าจะเลือกเมนูไหนเราแนะนำเลย

ใครไม่รู้ว่าจะเลือกเมนูไหนเราแนะนำเลย

และเราก็เดินทางมาถึงสนามบินนาริตะ เวลาที่ญี่ปุ่นจะเร็วกว่าที่ไทย 2 ชม. เวลาญี่ปุ่นตอนเรามาถึงคือ 10.25 น. หลังจากลงเครื่องและเอากระเป๋าเรียบร้อยแล้ว เราก็ต้องเดินทางจากสนามบินนาริตะไปยังโตเกียวซึ่งการเดินทางเข้าโตเกียวก็มีให้เลือกหลายวิธีไม่ว่าจะเป็นรถบัสหรือรถไฟก็มีให้เลือกด้วยกันหลายแบบ แต่สำหรับครั้งนี้เราเลือกวิธีที่ประหยัดเวลาที่สุดเพราะอยากเที่ยวเยอะๆเลยต้องทำเวลากันหน่อย 5555 เราเลือกเดินทางด้วย Keisei Skyliner แต่นั่งต่อเดียวยังไม่ถึงนะ เราต้องนั่งไปลงที่ Ueno ก่อน ซึ่งใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 40 นาที และใครพักที่ไหนก็นั่งต่อไปได้เลย เราพักที่ Shinjuku ก็นั่งรถไฟต่อไปได้เลย

สำหรับการซื้อตั๋ว Keisei Skyliner เราแนะนำวิธีเราเลยเราว่ามันสะดวกที่สุด นั่นก็คือการซื้อผ่าน Klook  ซึ่งข้อดีของมันคือเราไม่ต้องมาซื้อที่สนามบินและราคาก็ถูกกว่าด้วย สำหรับใครที่ซื้อในแอปแล้วเมื่อมาถึงสนามบินก็เปิดแอปแล้วไปที่เคาน์เตอร์เพื่อให้พนักงานสแกนบาร์โค้ดเราก็จะได้เวาเชอร์ตามภาพนี้เลย ซึ่งราคาจะอยู่ที่ 610 บาท/เที่ยว แนะนำให้ซื้อไปเลย 2 เที่ยว ก็คือรวมทั้งขาไปและขากลับ (ตอนไปให้พนักงานสแกนบาร์โค้ดก็รับเวาเชอร์มาทีเดียว 2 ใบเลย เอามาใช้ตอนขาไปหนึ่งใบและเก็บไว้ใช้ขากลับอีกหนึ่งใบจะได้ไม่ต้องแลกหลายรอบ)

ใครสนใจ Keisei Skyliner เข้าไปจองได้เลยที่ >> https://bit.ly/2El1LEH

รับเวาเชอร์ได้ที่เคาน์เตอร์ Travel Agency สังเกตป้าย Klook ตามภาพข้างบนเลย เจอแล้วก็เข้าไปหาพนักงานได้เลย และแน่นอนไปเที่ยวต่างประเทศเราก็ต้องใช้อินเตอร์เน็ตใช่ไหมละ ปกติเราจะซื้อซิมเล่นเน็ตไปจากไทยเลย แต่เราเคยมีประสบการณ์ซื้อไปแล้วเน็ตช้ามากกก เลยคิดว่าถ้าซื้อเป็นซิมของประเทศที่เราไปเน็ตต้องเร็วกว่าแน่ๆ เราก็เลยจองซิมเล่นอินเตอร์เน็ตผ่านทาง Klook ด้วยเลยสะดวกดี ซึ่งซิมที่เราซื้อเป็น ซิม 4G ความเร็วสูง เล่นได้ไม่จำกัด ใช้ได้ 8 วัน ซึ่งต้องรีวิวเลยว่าเน็ตเร็วจริง เร็วมาก แชร์เน็ตเล่นกันสองเครื่องก็ยังเร็วเหมือนเดิม สำหรับการรับซิมก็มารับได้ที่เคาน์เตอร์ Travel Agency เช่นกัน รับพร้อมกับเวาเชอร์ Keisei Skyliner ได้เลย

ใครสนใจ ซิมการ์ด 4G  เข้าไปจองได้เลยที่ >> https://bit.ly/2PslEux

ได้เวาเชอร์มาแล้วแต่เรายังไม่สามารถไปขึ้น Keisei Skyliner ได้นะ เพราะต้องนำเวาเชอร์ไปแลกเป็นตั๋วโดยสารที่ Skyliner & Keisei information center เราก็จะได้บัตรโดยสารมา (ที่เราบอกไปว่าให้แลกเวาเชอร์มา 2 ใบ ก็ให้แลกแค่ 1 ใบ ส่วนอีก 1 ใบ เก็บไว้แลกตอนขากลับที่สถานี Ueno เพื่อเดินทางมาที่สนามบินนาริตะ)

เราก็จะได้บัตรโดยสารมาแบบนี้เลย รถไฟมาก็ไปขึ้นตามเลขที่นั่งได้เลย

เรานั่งไปลงที่สถานี Ueno ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 40 นาที และใครพักที่ไหนก็นั่งรถไฟต่อไปได้เลย ส่วนเราพักที่ Shinjuku

ทริปนี้เราพกกระเป๋าเดินทางของ C&A Baggage มาด้วย ซึ่งต้องบอกเลยว่าชอบมาก ใส่ของได้เยอะไปทริปนานๆกระเป๋าใบเดียวเอาอยู่ และเรื่องความทนทานเราก็ว่าโอเคมากไม่ต้องเป็นห่วงเลย ใครที่สนใจเข้าไปดูกันได้เลยที่ C&A Baggage

เรามาดูเรื่องที่พักกันก่อนดีกว่า ทริปนี้เราพักกันแถวชินจูกุ ชื่อที่พัก Premier Hotel CABIN Shinjuku ที่เราเลือกที่นี่เพราะที่นี่ห้องพักโอเคเลยคะแนนรีวิวดี แล้วราคาของที่พักถ้าเทียบกับที่อื่นราคาถือว่าถูกกว่า และเราก็พักที่นี่ทั้งทริปเลยทั้งหมด 5 คืน

แต่เราขอพูดถึงตัวห้องพักนิดนึง ห้องพักจริงค่อนข้างจะเล็ก แต่เราไม่ซีเรียสเรื่องขนาดห้องพักอยู่แล้วเพราะเราใช้เวลาอยู่ในห้องน้อยมากกก เพราะเที่ยงทั้งวันกลับมานอนอย่างเดียว 5555 แต่ถึงจะห้องเล็กแต่เตียงนุ่ม ห้องน้ำมีอ่างด้วยแช่สบายมาก แค่นี้เราก็โอเคแล้ว 555

เรามาถึงที่พักตอน 14.30 น. จริงๆก็อยากออกไปเที่ยวถ่ายรูปเล่นเลยนะ แต่พอเจอเตียงเข้าไปก็ขอนอนเล่นหน่อยละกัน 5555 เลยออกมาจากที่พักอีกครั้งก็กลางคืนเลย อย่างที่บอกไปว่าเราพักที่ Shinjuku วันนี้เลยไม่อยากออกไปไหนไกล ก็ถ่ายรูปกันที่นี่แหละ ต้องบอกตรงๆว่าเราหลงเสน่ห์ของญี่ปุ่นยามค่ำคืนมากกก แต่คืนแรกเรายังถ่ายมาไม่เยอะ ไปดูภาพเรียกน้ำย่อยกันก่อนดีกว่า

ปกติเราไม่ใช่สายกินหรือสายช็อป แต่ครั้งนี้เรามีร้านแนะนำในชินจูกุอยู่หนึ่งร้าน สำหรับใครที่ชอบกระเป๋า anello อยากบอกว่าที่ญี่ปุ่นราคาถูกมากกก และเท่าที่เราไปดูมาหลายร้านในชินจูกุ ร้านนี้ราคาถูกสุดละ แต่แบบจะมีให้เลือกไม่เยอะ แต่ยังไงลองไปดูกันก่อนได้เพราะราคาถูกมากจริงๆ 555 ลองไปดูกันได้นะร้าน BIC DRUG ตามภาพด้านล่างเลย

เราหาอะไรกินแล้วเดินถ่ายรูปเล่นได้ไม่นานก็กลับมานอนเพราะพรุ่งนี้เราต้องตื่นไปเที่ยวตั้งแต่เช้า บอกไว้ก่อนเลยว่าสวยมาก

Day 2 

วันนี้เราจะไปกันที่ Kamikochi อย่างที่บอกว่าทริปนี้เราจะไปตามล่าใบไม้เปลี่ยนสีกัน เราก็มานั่งหาข้อมูลว่าใกล้ๆโตเกียวมีจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ไหนบ้าง ก็ได้มาหลายที่นะที่สวยๆ แต่ที่เราชอบที่สุดก็คือที่นี่ Kamikochi ที่นี่ไม่ได้มีดีแค่ใบไม้เปลี่ยนสี แต่ที่นี่เต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ อยากรู้ว่ามีอะไรบ้างตามมาดูกันเลย

สำหรับการเดินทางไป Kamikochi มีหลายวิธีนะ สามารถเดินทางไปเองได้หรือจะไปกับทัวร์ก็ได้เหมือนกัน แต่ถ้าเอาเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดเราแนะนำให้จองผ่าน Klook จริงๆก็เหมือนซื้อทัวร์แหละเราแค่จองและจ่ายเงินผ่านแอป ทาง Klook จะดำเนินการและแจ้งรายละเอียดการนัดพบกับทัวร์ให้เราเอง ถ้าใครที่ชอบอะไรง่ายๆเราแนะนำวิธีนี้เลย

ใครสนใจ Kamikochi เข้าไปจองได้เลยที่ >> https://bit.ly/2UtmiMc

เรานัดพบกับทัวร์เวลา 7.00 น. ต้องตรงต่อเวลานะเพราะแทบจะไม่มีคนเลทเลย คนมากันพร้อมแล้วก็ขึ้นรถทัวร์แล้วเดินทางกันเลย ถ้าเดินทางไปเองเท่าที่เคยอ่านคือเหมือนจะต้องนั่งรถไฟและไปนั่งรถบัสต่ออีกครั้งแต่ราคาน่าจะถูกกว่า แต่ถ้าจองแบบเราก็จะสะดวกตรงเรื่องการจองและการเดินทางนี่แหละ เดินทางก็นั่งรถบัสไปยาวๆเลย ถ้ำจำไม่ผิดใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 3-4 ชม. ก็ถือว่าเดินทางนานอยู่นะ 5555 ควรกินอาหารเช้าก่อนจะมาที่จุดนัดพบหรือถ้าไม่ทันก็ซื้อของกินจากร้านค้ามากินบนรถก็ได้

วิวระหว่างทางคือดีมากกกกก

แต่ไมต้องกลัวว่ารถจะขับยาวๆต้องนั่งเฉยๆจนเมื่อย เพราะรถจอดแวะประมาณสามครั้ง และภาพนี้ก็เป็นหนึ่งในจุดที่จอดพัก เราไม่แน่ใจว่าที่นี่ชื่ออะไร พยายามหาข้อมูลแล้วนะแต่ไม่เจอจริงๆ 5555 เอาเป็นว่าที่นี่เป็นจุดแวะพักที่มีศูนย์อาหารและวิวทะเลสาบที่สวยมากกกกก

แค่นี้ยังไม่พอเรายังได้เจอกับใบไม้เปลี่ยนสีด้วย เราไม่รู้ว่าชื่อต้นอะไรแต่คือสีแดงสวยมากกกก ทำให้เรารู้แล้วว่าที่ kamikochi ใบไม้ต้องเปลี่ยนสีแล้วเหมือนกัน 555

และแล้วเราก็จะถึง Kamikochi กันแล้ว

เข้ามาก็จะเห็นว่าที่นี่ใบไม้เปลี่ยนสีไปพอสมควรแล้ว

อาหารทางทัวร์จะมีเป็นชุดเบนโต๊ะไว้ให้เราคนละ 1 ชุด ใครจะกินก่อนแล้วค่อยไปเดินเที่ยวหรือเก็บไว้กินทีหลังก็ได้เหมือนกัน

เรามาพูดถึง Kamikochi กันก่อนดีกว่า คามิโคจิ(Kamikochi) ตั้งอยู่ในจังหวัด Nagano ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเทือกเขาแอลป์ญี่ปุ่น ถ้าคุณมาที่นี่สิ่งที่จะได้เจอมีทั้งเทือกเขาแอลป์ญี่ปุ่นที่โคตรยิ่งใหญ่ซึ่งถือเป็นพระเอกของที่นี่เลย และถ้ามาช่วงเดียวกับเราซึ่งเป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ที่นี่จะยิ่งสวยเข้าไปใหญ่ ตอนเราไปถือว่ากำลังดีเลยชอบมากก แต่ก็อยากมาช่วงปกติเหมือนกันนะคงได้ความรู้สึกอีกแบบ ถ้าถามว่าที่นี่เหมาะกับใครเราตอบได้เลยว่าเหมาะสำหรับทุกคนที่หลงรักธรรมชาติ จริงๆสิ่งที่จะได้เจอยังมีอีกเยอะเลยแต่อธิบายยาวๆแบบนี้มันไม่เห็นภาพ เอาเป็นว่าไปดูภาพกันเลยดีกว่า

Taisho Ike จุดแรกที่เราเริ่มเดินก็จะเจอกับจุดนี้ก่อนซึ่งจากภาพก็เห็นได้เลยว่าใบไม้เปลี่ยนสีสวยมากกก

นี่แหละเทือกเขาแอลป์ญี่ปุ่นที่เราพูดถึง

เอาจริงๆคือมองไปทางไหนมันก็สวยไปหมดอ่ะ ระยะทางการเดินจากจุดนี้ไปที่จุดนัดพบใช้เวลาประมาณ 2 ชม. แต่เนื่องจากเราถ่ายรูปเยอะมากกกก เลยเดินไป 3 ชม. ใครมาก็ควรเผื่อเวลาดีๆน่า เพราะที่นี่สวยมากจริงๆเดี่ยวจะถ่ายรูปเพลิน 5555

เป็นสถานที่ที่ถ่ายรูปได้โคตรสนุกกก แต่เราต้องเดินต่อกันแล้ว 5555

มาถึงอีกหนึ่งจุดที่ใครมาก็ต้องแวะ Mt. Yake-dake จุดนี้เราก็ชอบเหมือนกัน เอาจริงๆชอบทุกจุดอ่ะแหละ 5555 จุดนี้เราก็จะเห็นกับใบไม้เปลี่ยนสีและลำธารที่ไหลผ่านรวมกันแล้วลงตัวมากก

และจากที่เราสังเกตตรงนี้คนจะแวะนั่งกินอาหารกันเยอะเลย เราว่าก็ดีนะตรงนี้บรรยากาศดีด้วย

ไปดูจุดต่อไปกันต่อดีกว่า

ระหว่างเดินไปจุดต่อไปก็ยังสามารถเห็นเทือกเขาแอลป์ได้ตลอดทาง โคตรดีๆๆๆๆ

ตรงจุดนี้จะเป็นทางแยกให้เราเลือกเดินว่าจะไปซ้ายหรือขวาซึ่งจะมีป้ายบอกนะ แต่เราถ่ายมาแล้วภาพหายอ่ะเลยไม่รู้จะแนะนำยังไงดี 5555 แต่ไปทางไหนก็ถึงจุดหมายเหมือนกันแค่อาจจะพลาดที่เที่ยวบางจุด

เราเลือกไปที่จุดนี้กันก่อน Tashiro Pond น้ำตรงจุดนี้ใสมากกกแล้วน้ำสะท้อนกับสีของใบไม้ทำให้ที่นี่ออกมาสวยมาก

จริงๆถ้ามีเวลาเยอะเราอยากจะอยู่ให้นานกว่านี้ แต่เพราะเรามาแบบวันเดียวเลยต้องทำเวลากันหน่อย ไปดูส่วนอื่นกันต่อดีกว่า

ตอนนี้เรากำลังจะเดินไป Tashiro bridge และนี่คือระหว่างทางเป็นแม่น้ำ Azusa บอกเลยว่าโคตรสวยย คือน้ำใสสีฟ้าจริงๆ ภาพนี้เราปรับสีนะเพราะถ่ายมาสีมันไม่เหมือนของจริง ภาพนี้เราพยายามปรับให้สีฟ้าเหมือนจริงที่สุด ไม่หลอกตาแน่นอน 5555

สะพานในภาพคือ Tashiro bridge

วิวจาก Tashiro bridge

จาก Tashiro bridge เรากำลังเดินไปที่จุดสำคัญและจุดสุดท้ายของเรานั่นก็คือ Kappabashi

ไปดูวิวระหว่างทางกันก่อนดีกว่า คือวิระหว่างทางก็สวยอ่ะสำหรับที่นี่ 5555

จุดนี้เรียกได้ว่าเป็นโคตรพ่อโคตรแม่ใบไม้เปลี่ยนสีเลยก็ว่าได้ โคตรรรสวยยยย 5555

และแล้วเราก็มาถึงงงง Kappabashi ซึ่งเป็นจุดที่สามารถเห็นเทือกเขาแอลป์ญี่ปุ่นได้แบบใกล้และเต็มตาสุดๆๆๆๆ

แต่เทือกเขาแอลป์ญี่ปุ่นช่วงที่เราไปหิมะจะน้อยไปหน่อย แต่ก็ยังถือว่าสวยอยู่ดีและยิ่งมีใบไม้เปลี่ยนสีด้วยยิ่งสวยเข้าไปใหญ่

จริงๆตรงจุดนี้เราอยากเดินถ่ายไปอีกนานๆเลย แต่เวลาเราหมดแล้วเพราะถึงเวลานัดของทัวร์บอกตรงๆว่าโคตรเสียดาย จริงๆถ่ายได้อีกเยอะเลย สำหรับที่นี่ถ้าเรามาแบบ one day trip ข้อเสียก็คือเราจะมีเวลาน้อย แต่เอาจริงๆถ้าไม่ใช่คนถ่ายรูปหนักๆมาวันเดียวก็เกินพอแล้วเพราะจะได้กลับที่พักและวันต่อมาจะได้เที่ยวต่อได้เลย แต่ถ้าใครมาพักที่นี่ข้อดีก็คือจะได้เที่ยวแบบจุใจมากๆคนชอบถ่ายรูปอ่ะเราว่าเหมาะนะถ้าจะนอนต่อ ซึ่งที่นี่ก็มีที่พักเหมือนกันแต่ราคาน่าจะแพงพอตัวเลยแหละลองหาข้อมูลดูได้เลย

สำหรับที่นี่ถ้ามีโอกาสเราอยากจะกลับมาอีกครั้ง แต่จะมาช่วงที่หิมะบน Japan Alps มีเยอะๆหน่อย 555 และคงจะต้องหาโอกาสนอนค้างสักคืนเพราะถึงมาอีกครั้งก็คงถ่ายรูปเยอะอยู่ดี 5555

และก็ได้เวลากลับของเราละ ซึ่งขากลับก็ใช้เวลานานเช่นกัน ไปถึงที่พักเราก็อาบน้ำนอนกันเลยเพราะเหนื่อยมาก 5555

Day 3 

เราวาร์ปมาตอนเช้ากันดีกว่า วันนี้เราเว้นให้เป็นวันว่างไว้หนึ่งวันสำหรับการเที่ยวแบบชิลๆในเมือง ไม่ต้องมีแพลนเที่ยวถ่ายรูปไปเรื่อยๆไม่ต้องคิดอะไร เจออะไรน่าสนใจระหว่างทางก็แวะได้ตลอด ซึ่งเราจะไม่รู้เลยว่าจะไปเจอมุมถ่ายภาพแบบไหนบ้าง แต่นี่แหละคือเสน่ห์ที่เราชอบมากๆในการเที่ยวแบบนี้

ซึ่งเราทำแบบนี้ครั้งแรกที่ไต้หวันและรู้สึกชอบมากกกก เราเลยเอามาทำอีกครั้งในทริปญี่ปุ่น 55555 ไปดูกันดีกว่าว่าเที่ยวแบบไม่มีแพลนในหนึ่งวัน เราจะเจออะไรและจะได้ภาพสวยๆมาบ้างหรือเปล่า 5555

เริ่มต้นเราก็ออกจากที่พักและเดินไปที่สถานีรถไฟ เพื่อที่จะนั่งรถไฟไปที่อื่น ระหว่างทางเราก็ถ่ายไปเรื่อยๆ

มาพูดถึงเรื่องการเดินทางของวันนี้กันก่อนดีกว่า สำหรับญี่ปุ่นการเดินทางที่สะดวกที่สุดคงหนีไม่พ้นรถไฟซึ่งสามารถไปได้แทบทุกที่ในเมือง ซึ่งเหมาะกับวันนี้ของเราที่จะไปกันแบบไม่มีแพลนอยากแวะไหนก็ไปหาเอาดาบหน้า 555 ตอนแรกเราก็คิดนะว่าไปซื้อตั๋วรถไฟเอาที่สถานีก็ได้อยากไปที่ไหนก็ไปซื้อเอา

แต่มาคิดดูอีกทีถ้าเราซื้อผ่าน Klook ก็สะดวกดีเหมือนกัน เพราะจ่ายแค่ครั้งเดียวใช้ได้ยาวๆ 24 ชม. นั่งได้ไม่จำกัดรอบ ไม่จำกัดเที่ยว (เฉพาะรถไฟสาย Tokyo Metro และสาย Toei Subway) สำหรับใครที่คิดว่าจะเดินทางเยอะๆนั่งหลายรอบเราแนะนำวิธีนี้เลยเราว่าคุ้ม หลังจากซื้อแล้ววิธีใช้ง่ายมากแค่เอามือถือของเราเปิดแอปและจะมีจุดบริการของ Klook บอกไว้อยู่ว่ามีที่ไหนบ้างเราก็เอาไปแลกที่จุดบริการได้เลย เราก็จะได้การ์ดมาตามภาพเลย (มีทั้งแบบ 24, 48 หรือ 72 ชั่วโมง)

ใครสนใจ บัตรโดยสารรถไฟในโตเกียว เข้าไปจองได้เลยที่ >> https://bit.ly/2B3QEM5

ตอนไปถึงสถานีรถไฟเราก็ดูชื่อสถานีแล้วลองหาภาพดูว่าตรงไหนสวยๆบ้างและก็ลองนั่งรถไฟไปดู และหวยก็มาออกที่ Shimokitazawa เราเลยนั่งรถไฟไปที่ Shimo-Kitazawa Station ออกมาจากสถานีก็เดินถ่ายรูปกันได้เลย

ขอพูดถึง Shimokitazawa กันก่อนละกัน ที่นี่จะเรียกว่าเป็นโซนมือสองที่คนชอบของเก่าห้ามพลาดเพราะมีให้เลือกเยอะมากกก เป็นโซนช็อปปิ้งดีๆนี่เอง มีของให้เลือกเยอะเลย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นพวกของแฟชั่นมากกว่า ถึงจะเป็นของมือสองแต่ราคาแพงใช้ได้เลย แต่ยังไงก็มาเดินดูกันได้นะ ที่นี่เราว่าชิลและถ่ายรูปสนุกดี

ตอนแรกก็งงว่าคืออะไร สรุปแล้วก็คือบิงซูดีๆนี่เอง 5555

ร้านนี้เราชอบมากกก ใครชอบแนวนี้แนะนำเลย แต่ราคานี่แพงใช้ได้เลยแหละ

หลังจากเดินถ่ายรูปที่ Shimokitazawa เสร็จแล้วเราก็ไปต่อที่ Shibuya ซึ่งทุกคนคงรู้จักกันอยู่แล้วใครมาเที่ยวโตเกียวส่วนใหญ่จะไม่พลาดที่นี่กัน

มาถึง Shibuya แล้ววว ก่อนอื่นเราก็ไปกันที่ 5แยกชิบูย่า คนเยอะมากกก และคนก็มายืนถ่ายรูปกันเยอะเหมือนกัน

 

แต่ส่วนตัวเราไม่ค่อยชอบที่คนเยอะๆอยู่แล้ว ก็เดินหามุมถ่ายรูปอื่นๆในชิบูย่า ก็มาเจอตรอกแห่งนี้ซึ่งเราว่ามันสวยดีและคนก็น้อยด้วย แต่ถ้าให้ไปอีกครั้งคงหาไม่เจอแล้วเพระเดินมั่วมาก 5555

สิ่งที่เราชอบมากในญี่ปุ่นคือไม่ว่าจะถ่ายภาพตอนเช้าหรือกลางคืนมันก็สวยไปหมด ยิ่งตอนกลางคืนเราจะชอบมากเป็นพิเศษ คือตอนถ่ายนี่สนุกมากก แต่ตอนเอาภาพมาแต่งโทนนี่สนุกมากกว่า 5555

หลังจากถ่ายรูปที่ชิบูย่ากันจนพอใจแล้วเราก็นั่งรถไฟกลับมาที่พัก วันนี้เป็นวันชิลๆที่เราชอบมากไม่เหนื่อยเลย ส่วนหนึ่งเพราะอากาศที่นี่มันเย็นเลยเดินสนุก ถ้าอยู่ไทยไปเดินทั้งวันนี่คงเหงื่อท่วมตัวแน่ๆ 55555 และวันนี้เราก็พักกันก่อนพรุ่งนี้มีทริปต่อซึ่งเราก็ยังคงตามหาใบไม้เปลี่ยนสีกันเหมือนเดิมสายธรรมชาติห้ามพลาด และขอบอกเลยว่าที่ที่เราจะพาไปคือเดินทางง่ายมากกก ไปเช้าเย็นกลับได้แบบชิลๆเลย ยังไงก็ฝากติดตามกันต่อที่ Ep.2 ด้วยน่าาา 5555

สำหรับใครที่กำลังจะจองกิจกรรมต่างจาก Klook เรามีส่วนลดมาบอก
ใส่โค้ด KLOOKGIFT เป็นส่วนลด 250 บาท เมื่อซื้อครบ 4,000 บาท
และ KLOOLGIFTAPP ลด 500 บาท เมื่อซื้อครบ 5,500 บาท

ติดตามรีวิวตอนต่อไปได้ที่นี่เลย : เที่ยวก่อนตาย Bucket list TH